Friday, May 17, 2013

ปีนบันใด 1200 ขั้น ที่วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่

ปีนบันใด 1200 ขั้น ที่วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่

 
           บันได 1,200 ขั้น ที่ลัดเลาะผ่านซอกเขาไปตามหน้าผาจนถึงยอด มันคงสูงและเหนื่อยไม่ใช่เล่น เพียงแค่แหงนหน้าขึ้นไปมองคนที่กำลังไต่บันใดอยู่ข้างบนอันสูงลิบก็ดูน่า หวาดเสียว   ขึ้นไปแล้วจะสูงแค่ไหน ข้างบนนั้นมีอะไร จะขึ้นไปไหวหรือไม่ ดูเป็นสิ่งที่ท้าทายและชวนหาคำตอบยิ่งนัก ที่ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นการพิสูจน์ร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี
หลายปีมาแล้วผมเคยแวะมาเที่ยววัดนี้ซึ่งเป็นที่รู้จัก ของคนทั่วไป จะเรียกว่าเป็นวัดดังที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของภาคใต้ก็คงไม่ผิดนัก เคยได้ยินชื่อ “หลวงพ่อจำเนียร” เจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนในจังหวัดกระบี่และ จังหวัดใกล้เคียงมานาน
ผมรู้จักวัดนี้ในฐานะที่เป็นสถานที่ฝึกสมาธิและเจริญภาวนา ซึ่งแต่ละปีจะมีทั้งหญิงและชายจำนวนมากมาบวชชี - พราหมณ์ นุ่งขาวห่มขาว และถือศีล 8 กันเป็นเวลาหลายวัน โดยวัดได้จัดสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆไว้รองรับอย่างครบครัน
วัดถ้ำเสืออยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่มาไม่ไกลนัก คงไม่เกิน 5 กิโลเมตร ตามเส้นทางสาย กระบี่ – ตรัง ทางเข้าวัดสังเกตง่าย จะเห็นก้อนหินก้อนใหญ่สูงราว 10 เมตร ตั้งโดดเด่นอยู่ตรงสามแยกปากทางเข้าวัดพอดี ซึ่งผมก็จะใช้เป็นจุด จุดสังเกตทุกครั้ง  ก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้ามาตามถนนสายเล็กๆ ผ่านสวนของชาวบ้านต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะเห็นวัด
อยู่ด้านใน
ลานจอดรถที่กว้างขวางใหญ่โตอาจดูคับแคบหากเดินทางมาในวันหยุดหรือช่วงเทศกาล วัดนี้เป็นจุดแวะเที่ยวของนักทัศนาจร หลายระดับ ทั้งฉิ่งฉับทัวร์ ทัวร์ระดับ VIP รวมไปถึงกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ผ่านมายังเส้นทางนี้

                                            

 " รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม"  สูงราวๆ 5 เมตร ดูใหญ่โตกว่าที่เคยเห็นมาจากที่อื่นๆ   ในแต่ละวันจะมีผู้คนมาบูชาไม่ขาดสาย จุดธูปจุดเทียนกันจนควันโขมง และเป็นจุดเด่นที่ใครมาวัดนี้แล้วคงต้องเจอ
ผมเคยมาเที่ยววัดนี้ตอนที่รูปปั้นพึ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ เห็นสีทองเหลืองอร่ามแวววาวสวยงามมาก ใบหน้าเจ้าแม่กวนอิมดูสง่า มีราศรี หน้าขาวนวลออกชมภูเหมือนผู้หญิงสวยที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา ซึ่งแสดงถึงฝีมืออันประณีตของช่างปั้น
ด้านข้างของวัดเป็นหน้าผาที่ใหญ่โตและสูงชันมาก มีบันไดปูนซิเมนต์ให้เดินไต่ผ่านซอกเขาข้ามไปอีกฝากหนึ่งได้ เมื่อข้ามไปแล้ว จะเห็นเป็นป่ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาแน่น บางชนิดเป็นไม้ใหญ่ที่หาดูได้ยาก ดูลักษณะแล้วน่าจะมีอายุเป็นร้อยๆปี   ถ้าเดินลึกเข้าไป ตามแนวทางเดินริมเขาจะเห็นถ้ำเล็กๆ มีค้างคาวหลายสิบตัวที่เกาะนิ่งอยู่ตามเพดานถ้ำ สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในตอนกลางวัน
ภายในบริเวณวัดที่อยู่ด้านหลังเขา   ดูเหมือนเป็นป่า มากกว่าจะเป็นที่ดินเขตของวัด แต่จากสอบถามคนแถวนั้นแล้วทราบว่าเป็น พื้นที่ของวัด อกว่าเดิมทีวัดนี้ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในป่าต่อมามีชาวบ้านมาทำสวนทำไร่และ อาศัยอยู่ใกล้ๆวัดทำให้พื้นที่ของวัดถูกโอบ
ล้อมไปด้วยที่ดินของชาวบ้าน
ชื่อ วัด" ถ้าเสือ "  ในอดีตนั้นน่าจะมีเสืออาศัยอยู่ตามถ้ำต่างๆภายในวัด นึกไปแล้วก็น่าเป็นจริง เพราะสภาพทั่วไปเหมาะที่จะ เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า มีถ้ำอยู่หลายแห่ง มีต้นไม้ใหญ่ และห่างไกลจากผู้คน
แรกเริ่มเดิมทีของวัดนี้น่าจะมาจากพระป่าหรือพระธุดงค์มาอาศัยอยู่ตามถ้ำ และมีชาวบ้านที่ศรัทธาตามมากราบไหว้ จนกลาย เป็นวัดในเวลาต่อมา ซึ่งวัดถ้ำต่างๆในต่างจังหวัด ส่วนใหญ่แล้วจุดเริ่มต้นจนเป็นที่รู้จัก ก็ล้วนมาจากพระธุดงค์ที่จาริกไปเพื่อหา สถานที่วิเวกในการปฏิบัติธรรม จนมีผู้เลื่อมใสเดินทางมากราบไหว้กันเป็นจำนวนมาก
จะว่าไปแล้วการค้นพบถ้ำต่างๆที่มีชื่อและเป็นแหล่งท่อง เที่ยวที่สำคัญในเวลาต่อมา ก็มาจากพระธุดงค์นี้แหละที่เป็นนักสำรวจ และเป็นผู้ค้นพบที่แท้จริง ต่ก็อาจมีบางส่วนที่เข้าไปอาศัยและสร้างศาสนวัตถุต่างๆขึ้นจนเป็นการทำลาย สภาพแวดล้อมไปอย่าง
น่าเสียดายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
...ทั้งหมดนั้นเป็นความทรงจำที่ผมเคยมาเที่ยววัดนี้ถึง 2 ครั้งเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสไต่บันได 1,200 ขั้นแม้แต่ครั้ง
เดียว ทั้งนี้เป็นเพราะมีเวลาค่อนข้างจำกัดและยังต้องเดินทางต่อไปยังที่อื่นอีก ถึงกระนั้นก็ตั้งความหวังไว้ในใจว่าคงต้องหา โอกาสมาพิชิตให้ได้

9 เมษายน 2542

ผมมีโอกาสมาเยือนวัดนี้อีกครั้งหนึ่งตามที่ตั้งใจไว้ เกือบสี่โมงเย็นผมก็ขับรถมาถึงวัดหลังจากแวะเที่ยวจังหวัดตรังและทะเลตรัง กับครอบครัวมาแล้วสองวัน ครั้งนี้ตั้งใจเต็มที่ ที่จะต้องพิชิตให้ได้ หากพลาดครั้งนี้ไปแล้วก็ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสมาอีกหรือไม่ เพราะการจัดโปรแกรมเดินทางไกล มันไม่ง่ายนักที่จะจัดเวลาและสถานที่ได้อย่างลงตัวตามแผนที่วางไว้
ผมเตรียมกล้องและอุปกรณ์เพื่อนำติดตัวขึ้นเขาไปไม่มากนัก นำไปเท่าที่จำเป็นและให้มีน้ำหนักเบาที่สุด จะได้ไม่เป็นภาระต่อ การขึ้นบันไดที่ดูออกจะโหดพอสมควร
 " 1,200 ขั้น" คิดไปก็หวั่นใจไม่น้อย  กลัวขึ้นไปแล้วจะลิ้นห้อยหอบแฮกๆ จนหมดรูปเสียฟอร์มกันเลยทีเดียว ที่ผ่านมาก็เคย ไปเที่ยวอยู่หลายวัด แต่ยังไม่เห็นวัดไหนที่มีบันไดสูงและชันมากขนาดนี้ เทียบไม่ได้เลยกับบันใดนาคทีวัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีขั้นบันใดเพียงไม่กี่ร้อยขั้นเท่านั้นเอง
“เป็นไงเป็นกัน มาแล้วก็ต้องลุย”

่แต่ก็พออุ่นใจได้บ้าง ที่ไม่กี่วันนี้ก็ได้ทดสอบตัวเองมาแล้วจากการปีนเขาขึ้นไปชมหมู่เกาะอ่างทอง ที่เกาะสมุย ซึ่งเรียกเหงื่อได้ไม่ น้อยทีเดียว 1,200 ขั้นที่วัดนี้ ไม่น่าจะหนักหนาเกินกว่าปีนเขาที่หมู่เกาะอ่างทองเป็นแน่

จากนั้นก็ทำการรีดน้ำหนักตามธรรมเนียมแล้วก็มุ่งสู่ประตูทางเดินขึ้นเขาทันที
เมื่อมาถึงบันไดทางขึ้นก็รู้สึกแปลกตาอยู่บ้างเพราะเห็นธงทิวประดับกันเป็นแถว ตรงราวบันไดทางขึ้นก็มีผ้าแพรสีเหลืองสีแดง แต่งประดับจนสวยงามเหมือนกับจะมีงานอะไรสักอย่าง ใกล้ๆกันนั้นก็มีตำรวจนั่งอยู่ในเต้นปรำพิธีกันหลายคน ดูผิดสังเกตกว่าทุก ครั้งที่เคยมา
" มีงานอะไรหรือ…หรือมีใครเสด็จมา" ผมสอบถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเพื่อให้หายสงสัย เพราะเกรงว่าจะถูกห้ามขึ้นไปข้างบน
" ข้างบนโน้นเค้ากำลังทำพิธีบวงสรวงพระพุทธบาทจำลอง….ขึ้นไปได้ครับ..." เจ้าหน้าที่คนหนึ่งอธิบายให้ฟัง
หลังจากเดินขึ้นบันใดไปได้ไม่นานก็สวนทางกับนักท่องเที่ยวที่เดินลงมา จึงได้ทราบว่า นาย อาคม เอ่งฉ้วน ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่า การกระทรวงศึกษาธิการ (ในขณะนั้น) และเป็น ส.ส.ของจังหวัดกระบี่ อยู่ข้างบนนั้นด้วย
มิน่าละวันนี้ทางวัดจึงดูคึกคัก ผู้หลักผู้ใหญ่ระดับรัฐมนตรีไปที่ไหนก็มักจะเห็นผู้ติดตามผู้ดูแลความ ปลอดภัยมากันมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เห็นกันเป็นประจำในต่างจังหวัด
ทุก 100 ขั้นของบันไดจะเขียนตัวเลขบอกไว้ ทำให้ทราบว่าผ่านมาแล้วกี่ขั้นและยังเหลือข้างหน้าอีกเท่าได  ยิ่งสูงก็ยิ่งเหนื่อย และเรียกเหงื่อเต็มใบหน้าจนต้องปาดเช็ดกันอยู่บ่อยๆ ทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อยขา จนต้องหยุดตามจุดพักกันบ่อยครั้ง ต่น่าแปลกใจที่
เมื่ออยู่ข้างล่างแหงนมองขึ้นมาแล้วมันดูสูงชันจนน่าหวาดเสียว ต่พอขึ้นมาข้างบนแล้วกลับไม่เห็นว่ามันจะน่าหวาดเสียวตรงไหน
เมื่อขึ้นมาแล้วจึงรู้คำตอบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น .....
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทางขึ้นเขา จะเป็นทางเดินที่วนเลาะไปหลืบเขา ซ้ายที ขวาที จนมองไม่ค่อยเห็นความชันของขั้นบัน ใด นอกจากนี้ต้นไม้กิ่งไม้ที่ขึ้นตามซอกเขาช่วยบดบังและลดความเสียวใส้จากมุมมองไปได้แยะทีเดียว
" เผลอแพลบเดียวขึ้นมาสูงถึงขนาดนี้แล้วหรือ " กล้ามเนื้อขาเริ่มตึงจนออกอาการสั่น ไม่ว่าจะนั่งหรือยืนดูมันเกร็งไปหมด เห็นสภาพตนเองขณะนั้นแล้วอดก็ขำไม่ได้ ขาสั่นกระตุกเป็นจังหวะๆโดยอัตโนมัติ  ยังแปลกใจว่าทำไมจึงต้องสั่นด้วย ดูเหมือนว่าอาการสั่นนี้มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของสมองด้วยซ้ำไป

                                       
ระหว่างทางขณะกำลังเดินขึ้นบันใดมานั้น ได้พบกับพระภิกษุรูปหนึ่งเดินลงบันไดมาอย่างคล่องแคล่ว จึงได้สอบถามพิธีข้างบน ทำให้ทราบว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทำพิธีบวงสรวงพระพุทธบาทจำลองที่พึ่งสร้างเสร็จใหม่ๆโดยพิธีนี้จะมีไปจนครบ 7 วัน ปกติในช่วงเวลานี้ทางวัดจะจัดพิธีบนเขาและถือเป็นงานประจำปีของวัดถ้ำเสือ แต่ปีนี้พิเศษที่มีการสร้างพระพุทธบาทจำลอง ไว้บนยอดเขา  เพื่อให้ประชาชนขึ้นมากราบไหว้
ก่อนที่พระรูปนั้นจะเดินลงบันไดไปยังบอกกับผมว่ารีบๆขึ้นไป ข้างบนนั้นกำลังทำพิธีและมีคนเป็นร้อยๆเลย
ผมต้องเร่งตัวเองให้เร็วขึ้นเพราะเกรงว่าไม่ทันพิธี
ขณะที่เดินขึ้นไปนั้นก็พยายามนึกภาพงานพิธีไปด้วยว่าคนมากมายบนนั้นบรรยากาศจะเป็นอย่างไร มีพื้นที่กว้างขวางพอที่จะรอง รับคนเป็นร้อยๆได้หรือ ขึ้นไปแล้วจะเห็นอะไร ที่จะคับแคบเกินไปพอจะถ่ายภาพได้หรือไม่
ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นมากทีเดียว เห็นแสงแดดอ่อนๆพอประมาณ จนหวั่นใจว่าเมื่อขึ้นไปแล้วจะมีแสงพอที่จะถ่ายภาพด้วยแสง ธรรมชาติได้หรือไม่ เมฆขาวบางๆยังเต็มท้องฟ้า ดูแล้วน่าจะเป็นอุปสรรคไม่น้อยเลยทีเดียว
  " ถ้าหากไม่สามารถถ่ายภาพได้ดีนักก็ถือว่าขึ้นมาเที่ยวก็แล้วกัน "

มันเป็นสิ่งปลอบใจทุกครั้งที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ เพราะคิดว่าสิ่งที่ตั้งใจ บางครั้งอาจไม่เป็นไปตามคาด การถ่ายภาพจากการเดินทางท่องเที่ยว คงไม่สามารถไปจัดวางหรือเลือกเวลาได้ตามใจนึก  ต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของมันถ่ายได้ก็ถือว่า “เฮง” ถ่ายไม่ได้ก็ถือว่า ได้มาเที่ยว โดยไม่มีคำว่า “ซวย” อยู่ในใจ
แสงเริ่มอ่อนตัวลงมากขึ้นแม้จะเป็นเวลาแค่ 5 โมงเศษๆเท่านั้น

" อ้า...เหลืออีกไม่ถึง 100 ขั้นก็จะถึงยอดแล้ว......"  ความรู้สึกดีใจ ที่ใกล้จะถึงเส้นชัยมาถึงแล้ว แต่แปลก....ทำไมไม่ได้ยินเสียงพระสวดเลย ไหนว่าคนเยอะแยะแต่ดูเงียบๆพิกล พิธีการแบบนี้น่าจะมีเสียงผ่านเครื่องกระจาย เสียงดังทั่วทั้งเขาแล้ว
ผมคงไม่ได้สนใจอะไรมากนักได้แต่ก้มหน้าก้มตารีบขึ้นไปให้เร็วที่สุด ทั้งๆที่เมื่อยล้าทั้งตัว เสื้อผ้าที่สวมใส่ชุ่มฉ่ำไปด้วยเหงื่อ ที่สำคัญ " หิวน้ำแทบตาย "

                                                                  
ในที่สุดผมก็ขึ้นมาถึงยอดเขาซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่กำลังทำพิธีกันอยู่ ข้างบนนี้มีลานซีเมนต์ค่อนข้างกว้างขวาง มีสายสิญจน์ ระโยงระยางเต็มไปหมดและมีผู้คนเป็นร้อยร่วมในพิธี
เมื่อขึ้นมาถึงบนนี้แล้วก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะนั่งพักให้หายเหนื่อยกันเลย เพราะบรรยากาศของพิธีที่เห็นขณะนั้น มีอะไรดีๆ น่าสนใจไม่น้อยจนต้องรีบเอากล้องออกจากกระเป๋าโดยไม่รอช้า แสงแดดที่คิดว่าจะมีปัญหาก็ยังเห็นจางๆ พอที่จะเก็บภาพ สวยๆได้บ้าง ขืนชักช้ากว่านี้อาจพลาดโอกาสดีๆก็เป็นได้

                                  
พิธียังดำเนินอยู่ ผู้คนที่อยู่ตามจุดต่างๆนั่งพนมมือฟังเสียงสวดอย่างสงบจากต้นเสียงที่ผ่าน เครื่องกระจายเสียงที่ไม่ดังนัก ผมจึง ต้องระมัดระวังในการถ่ายภาพไม่ให้การเคลื่อนไหวของตนเองไปรบกวนสมาธิของคน อื่น  ซึ่งขณะนั้นมีแต่ผมคนเดียวที่เป็นตากล้อง อยู่กลางงานและเป็นจุดสนใจของคนที่ร่วมพิธี   ยังแปลกใจเหมือนกันว่าไม่เห็นมีช่างภาพคนอื่นบ้างเลยทั้งๆที่ดูเป็นงานสำคัญ ที่มีผู้ หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองและพระเกจิหลายองค์มาร่วมพิธี
" เค้าคงคิดว่าเป็นช่างภาพหนังสือพิมพ์ เพื่อถ่ายภาพไปทำข่าว...."  ผมนึกในใจ และต่างก็มองมาที่ผมเป็นจุดเดียว
สาระรูปผมขณะนั้นก็อาจดูคล้ายช่างภาพหนังสือพิมพ์   ที่มีทั้งกล้องและกระเป๋าสัมภาระ  แถมยังดูหน้าเก๋าออกแก่ๆอีกต่างหาก

                                   
บนยอดเขานี้มีลมกรรโชกมาเป็นระยะๆกระทบใบหน้าตลอดเวลา ทำให้หน้าตาที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเหือดแห้งไปได้ ความเหนื่อยล้า ที่สะสมมาแต่แรกก็หายไปเกือบหมด แถมได้น้ำได้ท่าจากผู้มาร่วมงานหยิบยื่นให้ด้วยน้ำใจไมตรี ทำให้มีเรี่ยวมีแรงถ่ายภาพต่อได้อย่างไม่ย่อท้อ
ผมเก็บภาพไปเรื่อยๆ โดยเดินตามต้นเสียงที่เป็นจุดศูนย์กลางของพิธั้ตั้งอยู่บนแท่งหินสูง มีประชาชนรายล้อมนั่งอยู่ข้างล่างเป็นจุดๆตามลานซีเมนต์และตามโขดหิน
พิธีดำเนินไปนานพอสมควรทำให้ผมมีเวลาถ่ายภาพบริเวณงานอย่างเต็มที่

                                  
ผมเล็งที่จะขึ้นไปอยู่บนศาลาเล็กๆหลังหนึ่งซึ่งสร้างบน โขดหินสูงใกล้ๆกับพิธี เพื่อเก็บภาพในมุมสูง จะได้เห็นบรรยากาศบริเวณงานนี้ได้ทั้งหมด แต่บันไดทางขึ้นมีคนนั่งอยู่เต็มและไม่สามารถขึ้นไปได้ จึงต้องเลี่ยงไปขึ้นทางด้านข้างโดยปีนขึ้นจากโขดหินก้อนใหญ่ใกล้ๆกับบันได แต่กว่าจะขึ้นไปได้ก็ทุลักทุเล เพราะบนบ่าก็มีกระเป๋ากล้องสะพายอยู่ ที่คอก็มีกล้องห้อยกระเตงอยู่ด้วย ดีที่คนที่นั่งอยู่แถวนั้นก็ช่วยกันดึงมือผมขึ้นไปได้ ไม่งั้นคงตะเกียกตะกายกันลำบากแน่          
           ขึ้นมาข้างบนนี้แล้วก็ได้มุมที่ดีๆหลายภาพ มองเห็นทิวทัศน์ได้รอบทิศ เห็นพิธีการกำลังดำเนินอยู่ซึ่งไม่ห่างจากที่ผมยืนเท่าใดนัก พระพุทธบาทจำลองที่เป็นศูนย์กลางของงานกำลังทำพิธีพุทธาภิเษก โดยมีเจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือและพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ของจังหวัดอีกหลายรูปร่วมทำพิธี ส่วนฝ่ายฆราวาสมีนายอาคม เอ่งฉ่วน เป็นประธาน นอกจากนี้ก็มีผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลายคนของจังหวัดมาร่วมในพิธีครั้งนี้ด้วย (นายอาคม เอ่งฉ่วน ในฐานะที่ดูแลกรมศาสนาในขณะนั้น และเป็นข่าวให้สัมภาษณ์อยู่บ่อยๆในกรณี ”วัดธรรมกาย “ )
ไม่นานนักพิธีเสร็จสิ้น ผู้คนที่อยู่ข้างล่างตรงบันไดเริ่มขยับตัวและยืนขึ้น ครั้นพระสงฆ์ทยอยลงมาจากพิธีข้างบน ผู้คนที่มาร่วม งานต่างก็กรูมาที่บันใดทางลง ยื่นมือยื่นไม้เบียดเสียดกันรับแจกพระเครื่องซึ่งเข้าใจว่าพึ่งผ่านพิธีปลุก เสกมาใหม่ๆ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างบนก็โปรยเงินเหรียญซึ่งคงผ่านพิธีปลุกเสกมาแล้วเช่น กัน ความชุลมุนจึงเกิดขึ้นต่างคนก็ยื้อแย่งไล่ตะครุบ เหรียญจนเป็นที่สนุกสนาน

                                  
ผมเดินลงมาจากศาลาเพื่อมาถ่ายภาพข้างล่างเมื่อเห็นรัฐมนตรี อาคม กำลังเดินลงบันไดมา คิดว่าจะถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกเพื่อ ประกอบเรื่องราวที่มาเยือนวัดถ้ำเสือในครั้งนี้
ขณะที่รอถ่ายภาพรัฐมนตรี อาคม อยู่นั้นก็เห็นพระรูปหนึ่งถือไม้เท้าค่อยๆก้าวลงบันไดมา ที่น่าสนใจก็คือมีพระเครื่องแขวนห้อย ตามจีวรเต็มไปหมด ซึ่งไม่เคยเห็นพระรูปไหนทำแบบนี้มาก่อน ดูๆก็แปลกดี

                                                         
เมื่อพระท่านลงมาใกล้จะถึงข้างล่างผมก็เบียดคนเข้าไปยืน ตรงหน้าได้ บอกว่าขอถ่ายภาพท่านด้วย ท่านก็ยิ้มและหยุดให้ถ่าย ภาพ ผมได้ถ่ายไปได้แค่รูปเดียวเท่านั้นเพราะโดนเบียดจากคนใกล้ๆที่มารับแจกพระจน กดชัตเตอร์ไม่ได้ จากนั้นไม่นาน รัฐมนตรี อาคม ก็เดินลงมา พร้อมกับแจกพระเครื่องไปตลอดทาง ผู้คนก็เข้ามาใกล้ๆยื่นมือยื้อแย่งกันจนเป็นที่สนุกสนานเฮฮา คนที่ได้ก็ดีใจ  คนที่ไม่ได้ก็ต้องรอรับจากคนอื่นที่กำลังทยอยเดินลง มา                                                                 
หลังจากที่ผู้คนทยอยกันกลับ ผมก็ยืนชมวิวข้างบนนั้นอีกสักพักเพราะยังไม่อยากเบียดเสียดกันลงบันได   คนเป็นร้อยลงเขาพร้อม กันในทางลงแคบๆที่สูงชันมันคงยุ่งยากไม่น้อย รอสักพักฆ่าเวลาด้วยการหามุมถ่ายภาพไปพลางๆก่อน น่าจะดี

                                    
ระหว่างที่ลงบันใดมาเห็นคุณลุงคนหนึ่งค่อยๆเกาะราวบันไดลงมาที่ละก้าวๆอย่างช้าๆ ความสูงของภูเขา และจำนวนขั้นบันใด 1,200 ขั้น ดูเป็นเรื่องน่าแปลกไม่น้อย ที่ผู้สูงวัยเช่นคุณลุงนี้จะทำได้สำเร็จถ้าไม่แข็งแรงพอ
ผมเห็นคุณลุงเดินลงมาช้าๆอย่างยากลำบาก มือทั้งสองเกาะราวบันไดแน่นและยังมีขวดน้ำมนต์ในมือด้วย ดูท่าทางแล้วกลัว จะไม่ค่อยไหว เพราะมือที่ถือขวดน้ำมนต์นั้นอาจจะพลาดได้ จึงขันอาสาช่วยถือให้ คุณลุงขอบอกขอบใจด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เหมือนจะเหนื่อยมาก จากนั้นก็เดินลงมาพร้อมๆกัน แต่ก็พยายามเหลือบตามองเพราะเกรงว่าจะช่วยตัวเองไม่ได้
ทุกก้าวที่ค่อยๆย่างเท้าลงมาดูกวัดแกว่งไม่ค่อยมั่นคงนัก ตามใบหน้าก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ แรกๆผมเดินไปคุยไปด้วย  คุณลุง บอกว่าขึ้นมาข้างบนนี้ทุกปีแหละ มาเอาน้ำมนต์ไปบูชาและฝากลูกฝากหลานด้วย และบอกผมไม่ต้องคอยหรอก ไปถึงข้างล่างก็
เอาขวดนี้ไปฝากไว้ที่ศาลาร้านขายของข้างเจ้าแม่กวนอิมให้ด้วย ลุงจะตามไปเอาเอง ผมเดินล้ำหน้าคุณลุงลงมาเพราะเห็นว่าไม่ น่ามีปัญหาอะไร

                                                     
                                                       
และเมื่อใกล้จะถึงข้างล่างก็เห็นแม่ชีหลังค่อมคนหนึ่งค่อยๆก้าวลงมาช้าๆเช่นกัน

" คุณยายอายุมากแล้วแต่ก็เก่งและยังแข็งแรงอยู่นะ……." ผมทักทายแม่ชี ขณะเดินตามลงมาได้ทัน

"  ยายอายุ หกสิบกว่าแล้ว แก่แล้วต้องค่อยๆเดิน " คุณยายพูดคุยกับผมด้วยท่าทางที่ไม่สู้เหน็ดเหนื่อยนัก

" คุณยายขึ้นไปถึงข้างบนเขาไม่เหนื่อยหรือครับ" ผมถาม เพราะท่าทางแล้วไม่น่าจะขึ้นไปถึงข้างบนนั้นได้

" ก่อนขึ้นก็อธิษฐานขอให้หลวงพ่อ (จำเนียร)ท่านช่วย และเดินตามหลวงพ่อมาขึ้นมาพร้อมกับอีกหลายๆคน"
คุณยายนิ่งไปสักพักก่อนที่จะพูดประโยคนี้ว่า

" หลวงพ่อท่านช่วยยาย ยายจึงขึ้นมาทำบุญกะเค้าได้แหละหลาน"

คำพูดที่คุณยายบอกผม ออกจะเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ และมีความภูมิใจที่ปีนี้ได้มีโอกาสขึ้นมาทำบุญอีกครั้งหนึ่ง
คงจะเป็นเพราะศรัทธาอันแรงกล้าที่มีต่อหลวงพ่อจำเนียร ที่ทำให้คุณลุงและแม่ชี ต่างก็ฝ่าความสูงขึ้นมาทำบุญบนยอดเขาแห่งนี้
ได้ตามที่ตั้งใจไว้ อานิสสงฆ์แห่งศรัทธาคงจะทำให้ผู้สูงวัยทั้งสองต่างอิ่มบุญไปไม่ไช่น้อย
ผมลงมาถึงข้างล่างก็เกือบจะมืดเอาพอดี หลังจากที่ดื่มน้ำและพักผ่อนกันไม่นานนัก ก็ต้องออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดพังงา   ซึ่งไม่ไกลจากจังหวัดกระบี่นี้เท่าใดนัก และเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางในวันนี้
 " วัดถ้าเสือ"  วันนี้เป็นวันที่ผมได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ด้วยการพิชิตบันใด 1,200 ขั้น แม้อาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนบางคน แต่สำหรับผมและครอบครัวที่มีโอกาสขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว ดูเป็นสิ่งที่มีคุณค่าแก่การมาเยือน และสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ได้ไม่น้อย หากผมมีโอกาสมาวัดนี้อีกก็คงแหงนมองขึ้นไปบนเขาอย่างไม่รู้สึกเสียวใส้และหวั่นไหวอีกต่อไป

วันนี้ผมได้มาถึงวัดถ้ำเสืออย่างภาคภูมิใจ และคำกล่าวที่ว่า" ใครที่มาเที่ยววัดถ้ำเสือแล้วยังไม่ได้ขึ้นเขาพิชิตบันได 1,200 ขั้น ถือว่ายังมาไม่ถึงวัด " ก็ยังเป็นจริงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

สิ่งที่อดดีใจไม่ได้ในการมาเยือนวัดครั้งนี้ก็คือ การได้มีโอกาสถ่ายภาพเหตุการณ์สำคัญแห่งปีของวัด “ ถ้ำเสือ “ บนยอดเขาสูง โดยบังเอิญ ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ดูน่าแปลกสำหรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่น
ผมโชคดีได้ถ่ายภาพในช่วงเวลาที่เห็นว่าเหมาะสมและลงตัวสำหรับงานพิธีครั้งนี้ ฟิล์มสีโกดัก PRN 100 ที่เตรียมมาก็มากพอที่ จะบันทึกเหตุการณ์อย่างเหลือเฟือ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงชัตเตอร์ทำงาน มันเป็นทั้งความสุข ความดีใจ ระคนเคล้ากันไป เพราะนั่น
หมายความว่าผมได้ภาพดีๆนั้นแล้วอย่างมั่นใจ โอกาสดีๆแบบนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักในการถ่ายภาพ
กล้องคู่ใจกับเลนส์อีกสองตัวรับใช้ผมอย่างซื่อสัตย์ตลอดทั้งงาน ทำให้การมาเยือนวัดถ้ำเสือครั้งนี้ถูกบันทึกภาพไว้บนแผ่นฟิล์ม และคิดว่าเหตุการณ์ที่พบเห็นในวันนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำอีกนานแสนนาน

0 comments:

Post a Comment