ปีนบันใด 1200 ขั้น ที่วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่
บันได
1,200 ขั้น ที่ลัดเลาะผ่านซอกเขาไปตามหน้าผาจนถึงยอด
มันคงสูงและเหนื่อยไม่ใช่เล่น
เพียงแค่แหงนหน้าขึ้นไปมองคนที่กำลังไต่บันใดอยู่ข้างบนอันสูงลิบก็ดูน่า
หวาดเสียว ขึ้นไปแล้วจะสูงแค่ไหน
ข้างบนนั้นมีอะไร จะขึ้นไปไหวหรือไม่
ดูเป็นสิ่งที่ท้าทายและชวนหาคำตอบยิ่งนัก
ที่ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นการพิสูจน์ร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี
หลายปีมาแล้วผมเคยแวะมาเที่ยววัดนี้ซึ่งเป็นที่รู้จัก
ของคนทั่วไป
จะเรียกว่าเป็นวัดดังที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของภาคใต้ก็คงไม่ผิดนัก
เคยได้ยินชื่อ “หลวงพ่อจำเนียร”
เจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนในจังหวัดกระบี่และ
จังหวัดใกล้เคียงมานาน
ผมรู้จักวัดนี้ในฐานะที่เป็นสถานที่ฝึกสมาธิและเจริญภาวนา ซึ่งแต่ละปีจะมีทั้งหญิงและชายจำนวนมากมาบวชชี
- พราหมณ์
นุ่งขาวห่มขาว และถือศีล 8 กันเป็นเวลาหลายวัน โดยวัดได้จัดสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆไว้รองรับอย่างครบครัน
วัดถ้ำเสืออยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่มาไม่ไกลนัก คงไม่เกิน 5 กิโลเมตร
ตามเส้นทางสาย กระบี่ – ตรัง
ทางเข้าวัดสังเกตง่าย จะเห็นก้อนหินก้อนใหญ่สูงราว 10 เมตร ตั้งโดดเด่นอยู่ตรงสามแยกปากทางเข้าวัดพอดี
ซึ่งผมก็จะใช้เป็นจุด
จุดสังเกตทุกครั้ง ก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้ามาตามถนนสายเล็กๆ
ผ่านสวนของชาวบ้านต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะเห็นวัด
อยู่ด้านใน
ลานจอดรถที่กว้างขวางใหญ่โตอาจดูคับแคบหากเดินทางมาในวันหยุดหรือช่วงเทศกาล
วัดนี้เป็นจุดแวะเที่ยวของนักทัศนาจร
หลายระดับ ทั้งฉิ่งฉับทัวร์ ทัวร์ระดับ VIP รวมไปถึงกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ผ่านมายังเส้นทางนี้
" รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม" สูงราวๆ 5
เมตร ดูใหญ่โตกว่าที่เคยเห็นมาจากที่อื่นๆ ในแต่ละวันจะมีผู้คนมาบูชาไม่ขาดสาย
จุดธูปจุดเทียนกันจนควันโขมง และเป็นจุดเด่นที่ใครมาวัดนี้แล้วคงต้องเจอ
ผมเคยมาเที่ยววัดนี้ตอนที่รูปปั้นพึ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ เห็นสีทองเหลืองอร่ามแวววาวสวยงามมาก
ใบหน้าเจ้าแม่กวนอิมดูสง่า
มีราศรี หน้าขาวนวลออกชมภูเหมือนผู้หญิงสวยที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา
ซึ่งแสดงถึงฝีมืออันประณีตของช่างปั้น
ด้านข้างของวัดเป็นหน้าผาที่ใหญ่โตและสูงชันมาก
มีบันไดปูนซิเมนต์ให้เดินไต่ผ่านซอกเขาข้ามไปอีกฝากหนึ่งได้
เมื่อข้ามไปแล้ว
จะเห็นเป็นป่ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาแน่น
บางชนิดเป็นไม้ใหญ่ที่หาดูได้ยาก
ดูลักษณะแล้วน่าจะมีอายุเป็นร้อยๆปี
ถ้าเดินลึกเข้าไป
ตามแนวทางเดินริมเขาจะเห็นถ้ำเล็กๆ
มีค้างคาวหลายสิบตัวที่เกาะนิ่งอยู่ตามเพดานถ้ำ
สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในตอนกลางวัน
ภายในบริเวณวัดที่อยู่ด้านหลังเขา ดูเหมือนเป็นป่า
มากกว่าจะเป็นที่ดินเขตของวัด
แต่จากสอบถามคนแถวนั้นแล้วทราบว่าเป็น
พื้นที่ของวัด
อกว่าเดิมทีวัดนี้ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในป่าต่อมามีชาวบ้านมาทำสวนทำไร่และ
อาศัยอยู่ใกล้ๆวัดทำให้พื้นที่ของวัดถูกโอบ
ล้อมไปด้วยที่ดินของชาวบ้าน
ชื่อ วัด" ถ้าเสือ " ในอดีตนั้นน่าจะมีเสืออาศัยอยู่ตามถ้ำต่างๆภายในวัด
นึกไปแล้วก็น่าเป็นจริง เพราะสภาพทั่วไปเหมาะที่จะ
เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า มีถ้ำอยู่หลายแห่ง มีต้นไม้ใหญ่ และห่างไกลจากผู้คน
แรกเริ่มเดิมทีของวัดนี้น่าจะมาจากพระป่าหรือพระธุดงค์มาอาศัยอยู่ตามถ้ำ
และมีชาวบ้านที่ศรัทธาตามมากราบไหว้ จนกลาย
เป็นวัดในเวลาต่อมา ซึ่งวัดถ้ำต่างๆในต่างจังหวัด ส่วนใหญ่แล้วจุดเริ่มต้นจนเป็นที่รู้จัก
ก็ล้วนมาจากพระธุดงค์ที่จาริกไปเพื่อหา
สถานที่วิเวกในการปฏิบัติธรรม จนมีผู้เลื่อมใสเดินทางมากราบไหว้กันเป็นจำนวนมาก
จะว่าไปแล้วการค้นพบถ้ำต่างๆที่มีชื่อและเป็นแหล่งท่อง
เที่ยวที่สำคัญในเวลาต่อมา
ก็มาจากพระธุดงค์นี้แหละที่เป็นนักสำรวจ
และเป็นผู้ค้นพบที่แท้จริง
ต่ก็อาจมีบางส่วนที่เข้าไปอาศัยและสร้างศาสนวัตถุต่างๆขึ้นจนเป็นการทำลาย
สภาพแวดล้อมไปอย่าง
น่าเสียดายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
...ทั้งหมดนั้นเป็นความทรงจำที่ผมเคยมาเที่ยววัดนี้ถึง 2 ครั้งเมื่อหลายปีก่อน
แต่ก็ยังไม่มีโอกาสไต่บันได 1,200 ขั้นแม้แต่ครั้ง
เดียว ทั้งนี้เป็นเพราะมีเวลาค่อนข้างจำกัดและยังต้องเดินทางต่อไปยังที่อื่นอีก
ถึงกระนั้นก็ตั้งความหวังไว้ในใจว่าคงต้องหา
โอกาสมาพิชิตให้ได้
9 เมษายน 2542
ผมมีโอกาสมาเยือนวัดนี้อีกครั้งหนึ่งตามที่ตั้งใจไว้
เกือบสี่โมงเย็นผมก็ขับรถมาถึงวัดหลังจากแวะเที่ยวจังหวัดตรังและทะเลตรัง
กับครอบครัวมาแล้วสองวัน ครั้งนี้ตั้งใจเต็มที่
ที่จะต้องพิชิตให้ได้
หากพลาดครั้งนี้ไปแล้วก็ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสมาอีกหรือไม่
เพราะการจัดโปรแกรมเดินทางไกล
มันไม่ง่ายนักที่จะจัดเวลาและสถานที่ได้อย่างลงตัวตามแผนที่วางไว้
ผมเตรียมกล้องและอุปกรณ์เพื่อนำติดตัวขึ้นเขาไปไม่มากนัก นำไปเท่าที่จำเป็นและให้มีน้ำหนักเบาที่สุด
จะได้ไม่เป็นภาระต่อ
การขึ้นบันไดที่ดูออกจะโหดพอสมควร
" 1,200 ขั้น" คิดไปก็หวั่นใจไม่น้อย กลัวขึ้นไปแล้วจะลิ้นห้อยหอบแฮกๆ
จนหมดรูปเสียฟอร์มกันเลยทีเดียว ที่ผ่านมาก็เคย
ไปเที่ยวอยู่หลายวัด แต่ยังไม่เห็นวัดไหนที่มีบันไดสูงและชันมากขนาดนี้
เทียบไม่ได้เลยกับบันใดนาคทีวัดพระธาตุดอยสุเทพ
จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีขั้นบันใดเพียงไม่กี่ร้อยขั้นเท่านั้นเอง
“เป็นไงเป็นกัน มาแล้วก็ต้องลุย”
่แต่ก็พออุ่นใจได้บ้าง
ที่ไม่กี่วันนี้ก็ได้ทดสอบตัวเองมาแล้วจากการปีนเขาขึ้นไปชมหมู่เกาะอ่างทอง
ที่เกาะสมุย ซึ่งเรียกเหงื่อได้ไม่
น้อยทีเดียว 1,200 ขั้นที่วัดนี้
ไม่น่าจะหนักหนาเกินกว่าปีนเขาที่หมู่เกาะอ่างทองเป็นแน่
จากนั้นก็ทำการรีดน้ำหนักตามธรรมเนียมแล้วก็มุ่งสู่ประตูทางเดินขึ้นเขาทันที
เมื่อมาถึงบันไดทางขึ้นก็รู้สึกแปลกตาอยู่บ้างเพราะเห็นธงทิวประดับกันเป็นแถว
ตรงราวบันไดทางขึ้นก็มีผ้าแพรสีเหลืองสีแดง
แต่งประดับจนสวยงามเหมือนกับจะมีงานอะไรสักอย่าง ใกล้ๆกันนั้นก็มีตำรวจนั่งอยู่ในเต้นปรำพิธีกันหลายคน
ดูผิดสังเกตกว่าทุก
ครั้งที่เคยมา
" มีงานอะไรหรือ…หรือมีใครเสด็จมา" ผมสอบถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเพื่อให้หายสงสัย
เพราะเกรงว่าจะถูกห้ามขึ้นไปข้างบน
" ข้างบนโน้นเค้ากำลังทำพิธีบวงสรวงพระพุทธบาทจำลอง….ขึ้นไปได้ครับ..."
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งอธิบายให้ฟัง
หลังจากเดินขึ้นบันใดไปได้ไม่นานก็สวนทางกับนักท่องเที่ยวที่เดินลงมา
จึงได้ทราบว่า นาย อาคม เอ่งฉ้วน ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่า
การกระทรวงศึกษาธิการ (ในขณะนั้น) และเป็น ส.ส.ของจังหวัดกระบี่
อยู่ข้างบนนั้นด้วย
มิน่าละวันนี้ทางวัดจึงดูคึกคัก
ผู้หลักผู้ใหญ่ระดับรัฐมนตรีไปที่ไหนก็มักจะเห็นผู้ติดตามผู้ดูแลความ
ปลอดภัยมากันมากมาย
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เห็นกันเป็นประจำในต่างจังหวัด
ทุก 100 ขั้นของบันไดจะเขียนตัวเลขบอกไว้
ทำให้ทราบว่าผ่านมาแล้วกี่ขั้นและยังเหลือข้างหน้าอีกเท่าได
ยิ่งสูงก็ยิ่งเหนื่อย
และเรียกเหงื่อเต็มใบหน้าจนต้องปาดเช็ดกันอยู่บ่อยๆ
ทั้งเหนื่อย
ทั้งเมื่อยขา จนต้องหยุดตามจุดพักกันบ่อยครั้ง
ต่น่าแปลกใจที่
เมื่ออยู่ข้างล่างแหงนมองขึ้นมาแล้วมันดูสูงชันจนน่าหวาดเสียว
ต่พอขึ้นมาข้างบนแล้วกลับไม่เห็นว่ามันจะน่าหวาดเสียวตรงไหน
เมื่อขึ้นมาแล้วจึงรู้คำตอบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น .....
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทางขึ้นเขา จะเป็นทางเดินที่วนเลาะไปหลืบเขา
ซ้ายที ขวาที จนมองไม่ค่อยเห็นความชันของขั้นบัน
ใด นอกจากนี้ต้นไม้กิ่งไม้ที่ขึ้นตามซอกเขาช่วยบดบังและลดความเสียวใส้จากมุมมองไปได้แยะทีเดียว
" เผลอแพลบเดียวขึ้นมาสูงถึงขนาดนี้แล้วหรือ "
กล้ามเนื้อขาเริ่มตึงจนออกอาการสั่น ไม่ว่าจะนั่งหรือยืนดูมันเกร็งไปหมด
เห็นสภาพตนเองขณะนั้นแล้วอดก็ขำไม่ได้ ขาสั่นกระตุกเป็นจังหวะๆโดยอัตโนมัติ
ยังแปลกใจว่าทำไมจึงต้องสั่นด้วย
ดูเหมือนว่าอาการสั่นนี้มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของสมองด้วยซ้ำไป
ระหว่างทางขณะกำลังเดินขึ้นบันใดมานั้น ได้พบกับพระภิกษุรูปหนึ่งเดินลงบันไดมาอย่างคล่องแคล่ว
จึงได้สอบถามพิธีข้างบน
ทำให้ทราบว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทำพิธีบวงสรวงพระพุทธบาทจำลองที่พึ่งสร้างเสร็จใหม่ๆโดยพิธีนี้จะมีไปจนครบ
7 วัน
ปกติในช่วงเวลานี้ทางวัดจะจัดพิธีบนเขาและถือเป็นงานประจำปีของวัดถ้ำเสือ
แต่ปีนี้พิเศษที่มีการสร้างพระพุทธบาทจำลอง
ไว้บนยอดเขา เพื่อให้ประชาชนขึ้นมากราบไหว้
ก่อนที่พระรูปนั้นจะเดินลงบันไดไปยังบอกกับผมว่ารีบๆขึ้นไป ข้างบนนั้นกำลังทำพิธีและมีคนเป็นร้อยๆเลย
ผมต้องเร่งตัวเองให้เร็วขึ้นเพราะเกรงว่าไม่ทันพิธี
ขณะที่เดินขึ้นไปนั้นก็พยายามนึกภาพงานพิธีไปด้วยว่าคนมากมายบนนั้นบรรยากาศจะเป็นอย่างไร
มีพื้นที่กว้างขวางพอที่จะรอง
รับคนเป็นร้อยๆได้หรือ ขึ้นไปแล้วจะเห็นอะไร ที่จะคับแคบเกินไปพอจะถ่ายภาพได้หรือไม่
ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นมากทีเดียว เห็นแสงแดดอ่อนๆพอประมาณ จนหวั่นใจว่าเมื่อขึ้นไปแล้วจะมีแสงพอที่จะถ่ายภาพด้วยแสง
ธรรมชาติได้หรือไม่ เมฆขาวบางๆยังเต็มท้องฟ้า ดูแล้วน่าจะเป็นอุปสรรคไม่น้อยเลยทีเดียว
" ถ้าหากไม่สามารถถ่ายภาพได้ดีนักก็ถือว่าขึ้นมาเที่ยวก็แล้วกัน
"
มันเป็นสิ่งปลอบใจทุกครั้งที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้
เพราะคิดว่าสิ่งที่ตั้งใจ
บางครั้งอาจไม่เป็นไปตามคาด
การถ่ายภาพจากการเดินทางท่องเที่ยว
คงไม่สามารถไปจัดวางหรือเลือกเวลาได้ตามใจนึก
ต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของมันถ่ายได้ก็ถือว่า “เฮง”
ถ่ายไม่ได้ก็ถือว่า ได้มาเที่ยว โดยไม่มีคำว่า
“ซวย” อยู่ในใจ
แสงเริ่มอ่อนตัวลงมากขึ้นแม้จะเป็นเวลาแค่ 5 โมงเศษๆเท่านั้น
" อ้า...เหลืออีกไม่ถึง 100 ขั้นก็จะถึงยอดแล้ว......"
ความรู้สึกดีใจ ที่ใกล้จะถึงเส้นชัยมาถึงแล้ว
แต่แปลก....ทำไมไม่ได้ยินเสียงพระสวดเลย ไหนว่าคนเยอะแยะแต่ดูเงียบๆพิกล
พิธีการแบบนี้น่าจะมีเสียงผ่านเครื่องกระจาย
เสียงดังทั่วทั้งเขาแล้ว
ผมคงไม่ได้สนใจอะไรมากนักได้แต่ก้มหน้าก้มตารีบขึ้นไปให้เร็วที่สุด
ทั้งๆที่เมื่อยล้าทั้งตัว เสื้อผ้าที่สวมใส่ชุ่มฉ่ำไปด้วยเหงื่อ
ที่สำคัญ " หิวน้ำแทบตาย "
ในที่สุดผมก็ขึ้นมาถึงยอดเขาซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่กำลังทำพิธีกันอยู่
ข้างบนนี้มีลานซีเมนต์ค่อนข้างกว้างขวาง มีสายสิญจน์
ระโยงระยางเต็มไปหมดและมีผู้คนเป็นร้อยร่วมในพิธี
เมื่อขึ้นมาถึงบนนี้แล้วก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะนั่งพักให้หายเหนื่อยกันเลย
เพราะบรรยากาศของพิธีที่เห็นขณะนั้น มีอะไรดีๆ
น่าสนใจไม่น้อยจนต้องรีบเอากล้องออกจากกระเป๋าโดยไม่รอช้า แสงแดดที่คิดว่าจะมีปัญหาก็ยังเห็นจางๆ
พอที่จะเก็บภาพ
สวยๆได้บ้าง ขืนชักช้ากว่านี้อาจพลาดโอกาสดีๆก็เป็นได้
พิธียังดำเนินอยู่
ผู้คนที่อยู่ตามจุดต่างๆนั่งพนมมือฟังเสียงสวดอย่างสงบจากต้นเสียงที่ผ่าน
เครื่องกระจายเสียงที่ไม่ดังนัก ผมจึง
ต้องระมัดระวังในการถ่ายภาพไม่ให้การเคลื่อนไหวของตนเองไปรบกวนสมาธิของคน
อื่น ซึ่งขณะนั้นมีแต่ผมคนเดียวที่เป็นตากล้อง
อยู่กลางงานและเป็นจุดสนใจของคนที่ร่วมพิธี
ยังแปลกใจเหมือนกันว่าไม่เห็นมีช่างภาพคนอื่นบ้างเลยทั้งๆที่ดูเป็นงานสำคัญ
ที่มีผู้
หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองและพระเกจิหลายองค์มาร่วมพิธี
" เค้าคงคิดว่าเป็นช่างภาพหนังสือพิมพ์ เพื่อถ่ายภาพไปทำข่าว...."
ผมนึกในใจ และต่างก็มองมาที่ผมเป็นจุดเดียว
สาระรูปผมขณะนั้นก็อาจดูคล้ายช่างภาพหนังสือพิมพ์ ที่มีทั้งกล้องและกระเป๋าสัมภาระ
แถมยังดูหน้าเก๋าออกแก่ๆอีกต่างหาก
บนยอดเขานี้มีลมกรรโชกมาเป็นระยะๆกระทบใบหน้าตลอดเวลา
ทำให้หน้าตาที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเหือดแห้งไปได้
ความเหนื่อยล้า
ที่สะสมมาแต่แรกก็หายไปเกือบหมด
แถมได้น้ำได้ท่าจากผู้มาร่วมงานหยิบยื่นให้ด้วยน้ำใจไมตรี
ทำให้มีเรี่ยวมีแรงถ่ายภาพต่อได้อย่างไม่ย่อท้อ
ผมเก็บภาพไปเรื่อยๆ
โดยเดินตามต้นเสียงที่เป็นจุดศูนย์กลางของพิธั้ตั้งอยู่บนแท่งหินสูง
มีประชาชนรายล้อมนั่งอยู่ข้างล่างเป็นจุดๆตามลานซีเมนต์และตามโขดหิน
พิธีดำเนินไปนานพอสมควรทำให้ผมมีเวลาถ่ายภาพบริเวณงานอย่างเต็มที่
ผมเล็งที่จะขึ้นไปอยู่บนศาลาเล็กๆหลังหนึ่งซึ่งสร้างบน
โขดหินสูงใกล้ๆกับพิธี
เพื่อเก็บภาพในมุมสูง
จะได้เห็นบรรยากาศบริเวณงานนี้ได้ทั้งหมด
แต่บันไดทางขึ้นมีคนนั่งอยู่เต็มและไม่สามารถขึ้นไปได้
จึงต้องเลี่ยงไปขึ้นทางด้านข้างโดยปีนขึ้นจากโขดหินก้อนใหญ่ใกล้ๆกับบันได
แต่กว่าจะขึ้นไปได้ก็ทุลักทุเล
เพราะบนบ่าก็มีกระเป๋ากล้องสะพายอยู่
ที่คอก็มีกล้องห้อยกระเตงอยู่ด้วย
ดีที่คนที่นั่งอยู่แถวนั้นก็ช่วยกันดึงมือผมขึ้นไปได้
ไม่งั้นคงตะเกียกตะกายกันลำบากแน่
ขึ้นมาข้างบนนี้แล้วก็ได้มุมที่ดีๆหลายภาพ
มองเห็นทิวทัศน์ได้รอบทิศ
เห็นพิธีการกำลังดำเนินอยู่ซึ่งไม่ห่างจากที่ผมยืนเท่าใดนัก
พระพุทธบาทจำลองที่เป็นศูนย์กลางของงานกำลังทำพิธีพุทธาภิเษก
โดยมีเจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือและพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง
ของจังหวัดอีกหลายรูปร่วมทำพิธี
ส่วนฝ่ายฆราวาสมีนายอาคม เอ่งฉ่วน เป็นประธาน
นอกจากนี้ก็มีผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลายคนของจังหวัดมาร่วมในพิธีครั้งนี้ด้วย
(นายอาคม เอ่งฉ่วน ในฐานะที่ดูแลกรมศาสนาในขณะนั้น
และเป็นข่าวให้สัมภาษณ์อยู่บ่อยๆในกรณี
”วัดธรรมกาย “ )
ไม่นานนักพิธีเสร็จสิ้น
ผู้คนที่อยู่ข้างล่างตรงบันไดเริ่มขยับตัวและยืนขึ้น
ครั้นพระสงฆ์ทยอยลงมาจากพิธีข้างบน ผู้คนที่มาร่วม
งานต่างก็กรูมาที่บันใดทางลง
ยื่นมือยื่นไม้เบียดเสียดกันรับแจกพระเครื่องซึ่งเข้าใจว่าพึ่งผ่านพิธีปลุก
เสกมาใหม่ๆ
ขณะเดียวกัน
เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างบนก็โปรยเงินเหรียญซึ่งคงผ่านพิธีปลุกเสกมาแล้วเช่น
กัน
ความชุลมุนจึงเกิดขึ้นต่างคนก็ยื้อแย่งไล่ตะครุบ
เหรียญจนเป็นที่สนุกสนาน
ผมเดินลงมาจากศาลาเพื่อมาถ่ายภาพข้างล่างเมื่อเห็นรัฐมนตรี อาคม
กำลังเดินลงบันไดมา คิดว่าจะถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกเพื่อ
ประกอบเรื่องราวที่มาเยือนวัดถ้ำเสือในครั้งนี้
ขณะที่รอถ่ายภาพรัฐมนตรี อาคม อยู่นั้นก็เห็นพระรูปหนึ่งถือไม้เท้าค่อยๆก้าวลงบันไดมา
ที่น่าสนใจก็คือมีพระเครื่องแขวนห้อย
ตามจีวรเต็มไปหมด ซึ่งไม่เคยเห็นพระรูปไหนทำแบบนี้มาก่อน ดูๆก็แปลกดี
เมื่อพระท่านลงมาใกล้จะถึงข้างล่างผมก็เบียดคนเข้าไปยืน
ตรงหน้าได้
บอกว่าขอถ่ายภาพท่านด้วย ท่านก็ยิ้มและหยุดให้ถ่าย
ภาพ
ผมได้ถ่ายไปได้แค่รูปเดียวเท่านั้นเพราะโดนเบียดจากคนใกล้ๆที่มารับแจกพระจน
กดชัตเตอร์ไม่ได้
จากนั้นไม่นาน
รัฐมนตรี อาคม ก็เดินลงมา
พร้อมกับแจกพระเครื่องไปตลอดทาง
ผู้คนก็เข้ามาใกล้ๆยื่นมือยื้อแย่งกันจนเป็นที่สนุกสนานเฮฮา
คนที่ได้ก็ดีใจ คนที่ไม่ได้ก็ต้องรอรับจากคนอื่นที่กำลังทยอยเดินลง
มา
หลังจากที่ผู้คนทยอยกันกลับ ผมก็ยืนชมวิวข้างบนนั้นอีกสักพักเพราะยังไม่อยากเบียดเสียดกันลงบันได คนเป็นร้อยลงเขาพร้อม
กันในทางลงแคบๆที่สูงชันมันคงยุ่งยากไม่น้อย รอสักพักฆ่าเวลาด้วยการหามุมถ่ายภาพไปพลางๆก่อน
น่าจะดี
ระหว่างที่ลงบันใดมาเห็นคุณลุงคนหนึ่งค่อยๆเกาะราวบันไดลงมาที่ละก้าวๆอย่างช้าๆ
ความสูงของภูเขา และจำนวนขั้นบันใด
1,200 ขั้น ดูเป็นเรื่องน่าแปลกไม่น้อย ที่ผู้สูงวัยเช่นคุณลุงนี้จะทำได้สำเร็จถ้าไม่แข็งแรงพอ
ผมเห็นคุณลุงเดินลงมาช้าๆอย่างยากลำบาก มือทั้งสองเกาะราวบันไดแน่นและยังมีขวดน้ำมนต์ในมือด้วย
ดูท่าทางแล้วกลัว
จะไม่ค่อยไหว เพราะมือที่ถือขวดน้ำมนต์นั้นอาจจะพลาดได้ จึงขันอาสาช่วยถือให้
คุณลุงขอบอกขอบใจด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เหมือนจะเหนื่อยมาก จากนั้นก็เดินลงมาพร้อมๆกัน แต่ก็พยายามเหลือบตามองเพราะเกรงว่าจะช่วยตัวเองไม่ได้
ทุกก้าวที่ค่อยๆย่างเท้าลงมาดูกวัดแกว่งไม่ค่อยมั่นคงนัก ตามใบหน้าก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
แรกๆผมเดินไปคุยไปด้วย คุณลุง
บอกว่าขึ้นมาข้างบนนี้ทุกปีแหละ มาเอาน้ำมนต์ไปบูชาและฝากลูกฝากหลานด้วย
และบอกผมไม่ต้องคอยหรอก ไปถึงข้างล่างก็
เอาขวดนี้ไปฝากไว้ที่ศาลาร้านขายของข้างเจ้าแม่กวนอิมให้ด้วย ลุงจะตามไปเอาเอง
ผมเดินล้ำหน้าคุณลุงลงมาเพราะเห็นว่าไม่
น่ามีปัญหาอะไร
และเมื่อใกล้จะถึงข้างล่างก็เห็นแม่ชีหลังค่อมคนหนึ่งค่อยๆก้าวลงมาช้าๆเช่นกัน
" คุณยายอายุมากแล้วแต่ก็เก่งและยังแข็งแรงอยู่นะ……."
ผมทักทายแม่ชี ขณะเดินตามลงมาได้ทัน
" ยายอายุ หกสิบกว่าแล้ว แก่แล้วต้องค่อยๆเดิน "
คุณยายพูดคุยกับผมด้วยท่าทางที่ไม่สู้เหน็ดเหนื่อยนัก
" คุณยายขึ้นไปถึงข้างบนเขาไม่เหนื่อยหรือครับ" ผมถาม
เพราะท่าทางแล้วไม่น่าจะขึ้นไปถึงข้างบนนั้นได้
" ก่อนขึ้นก็อธิษฐานขอให้หลวงพ่อ (จำเนียร)ท่านช่วย และเดินตามหลวงพ่อมาขึ้นมาพร้อมกับอีกหลายๆคน"
คุณยายนิ่งไปสักพักก่อนที่จะพูดประโยคนี้ว่า
" หลวงพ่อท่านช่วยยาย ยายจึงขึ้นมาทำบุญกะเค้าได้แหละหลาน"
คำพูดที่คุณยายบอกผม ออกจะเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ
และมีความภูมิใจที่ปีนี้ได้มีโอกาสขึ้นมาทำบุญอีกครั้งหนึ่ง
คงจะเป็นเพราะศรัทธาอันแรงกล้าที่มีต่อหลวงพ่อจำเนียร ที่ทำให้คุณลุงและแม่ชี
ต่างก็ฝ่าความสูงขึ้นมาทำบุญบนยอดเขาแห่งนี้
ได้ตามที่ตั้งใจไว้ อานิสสงฆ์แห่งศรัทธาคงจะทำให้ผู้สูงวัยทั้งสองต่างอิ่มบุญไปไม่ไช่น้อย
ผมลงมาถึงข้างล่างก็เกือบจะมืดเอาพอดี
หลังจากที่ดื่มน้ำและพักผ่อนกันไม่นานนัก
ก็ต้องออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดพังงา
ซึ่งไม่ไกลจากจังหวัดกระบี่นี้เท่าใดนัก
และเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางในวันนี้
" วัดถ้าเสือ" วันนี้เป็นวันที่ผมได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ด้วยการพิชิตบันใด
1,200 ขั้น แม้อาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนบางคน
แต่สำหรับผมและครอบครัวที่มีโอกาสขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว ดูเป็นสิ่งที่มีคุณค่าแก่การมาเยือน
และสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง
ได้ไม่น้อย หากผมมีโอกาสมาวัดนี้อีกก็คงแหงนมองขึ้นไปบนเขาอย่างไม่รู้สึกเสียวใส้และหวั่นไหวอีกต่อไป
วันนี้ผมได้มาถึงวัดถ้ำเสืออย่างภาคภูมิใจ
และคำกล่าวที่ว่า" ใครที่มาเที่ยววัดถ้ำเสือแล้วยังไม่ได้ขึ้นเขาพิชิตบันได
1,200 ขั้น ถือว่ายังมาไม่ถึงวัด "
ก็ยังเป็นจริงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
สิ่งที่อดดีใจไม่ได้ในการมาเยือนวัดครั้งนี้ก็คือ การได้มีโอกาสถ่ายภาพเหตุการณ์สำคัญแห่งปีของวัด
“ ถ้ำเสือ “ บนยอดเขาสูง
โดยบังเอิญ ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ดูน่าแปลกสำหรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่น
ผมโชคดีได้ถ่ายภาพในช่วงเวลาที่เห็นว่าเหมาะสมและลงตัวสำหรับงานพิธีครั้งนี้
ฟิล์มสีโกดัก PRN 100 ที่เตรียมมาก็มากพอที่
จะบันทึกเหตุการณ์อย่างเหลือเฟือ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงชัตเตอร์ทำงาน
มันเป็นทั้งความสุข ความดีใจ ระคนเคล้ากันไป เพราะนั่น
หมายความว่าผมได้ภาพดีๆนั้นแล้วอย่างมั่นใจ โอกาสดีๆแบบนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักในการถ่ายภาพ
กล้องคู่ใจกับเลนส์อีกสองตัวรับใช้ผมอย่างซื่อสัตย์ตลอดทั้งงาน
ทำให้การมาเยือนวัดถ้ำเสือครั้งนี้ถูกบันทึกภาพไว้บนแผ่นฟิล์ม
และคิดว่าเหตุการณ์ที่พบเห็นในวันนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำอีกนานแสนนาน
Friday, May 17, 2013
ปีนบันใด 1200 ขั้น ที่วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment